ทำได้ง่ายๆ สสส. แนะ วิธีทำความสะอาดมือถือ ลดเสี่ยงโควิด-19

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (Covid-19) ที่กำลังระบาดหนักในประเทศไทย โดยวันนี้กระทรวงสาธารณสุขแถลงพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่ม 127 ราย, ผู้ป่วยยอดสะสมทั้งหมด 1,651 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิตรวม 10 ราย

ล่าสุด สสส. ได้แนะวิธีทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่ใช้งานเป็นประจำ ส่งผลให้มือถือกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคมากที่สุด

  • วิธีทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่ : ใช้น้ำเปล่า สบู่เหลว (วิธีนี้ใช้ได้กับโทรศัพท์บางรุ่น) และผ้าไมโครไฟเบอร์ (วิธีนี้ใช้ได้กับโทรศัพท์ทุกรุ่น)

ความสามารถในการทนน้ำของโทรศัพท์อาจลดลงจากการใช้งานปกติความเสียหายที่เกิดจากของเหลวไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน

ผ้าที่นำมาเช็ดมือถือไม่ควรเป็นผ้ามีขุย แนะนำเป็นไมโครไฟเบอร์หรือ Wipe ทำความสะอาดมือถือโดยเฉพาะ จะช่อยถนอมหน้าจอโทรศัพท์ได้ดี

  • วิธีทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ : ใช้แอลกอฮอล์ (ใส่ขวดแบบสเปรย์ฉีด)

เป็นวิธีที่ค่ายมือถือไม่แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์เพราะอาจทำให้หน้าจอเสียหายได้ เนื่องจากมีสารเคลือบ Oleophobic เป็นสารเคลือบป้องกันรอย แต่ในสถานการณ์ COVID-19 ต้องอนุโลมให้ใช้แอลกอฮอล์ได้ ตัวอย่างจากการประกาศของค่าย Apple เป็นครั้งแรก

2. เคสโทรศัพท์มือถือ

  • ผู้ที่ใช้เคสแบบซิลิโคนควรเปลี่ยนมาใช้แบบพลาสติกก่อน เพื่อความง่ายในการทำความสะอาด
  • วิธีทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่ : ใช้น้ำเปล่า สบู่เหลว และผ้าไมโครไฟเบอร์ หลังทำความสะอาดอย่าลืมรอให้โทรศัพท์มือถือและเคสแห้งก่อนที่จะประกอบเข้าด้วยกัน

ข้อควรระวังอื่นๆ 

  • ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ ทั้งก่อนและหลังใช้มือถือ
  • ไม่นำโทรศัพท์มือถือเข้าไปใช้ในห้องน้ำเด็ดขาด
  • ไม่แนะนำให้ใช้สิ่งของเหล่านี้ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือ ได้แก่ น้ำยาเช็ดกระจกหรือน้ำยาทำความสะอาดห้องครัว และ กระดาษทิชชูแบบแข็งๆ เสี่ยงเกิดรอยขีดข่วน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.brighttv.co.th/

https://www.facebook.com/net.dtac.kaidee/?ref=your_pages.

#netdtackaidee

#สมัครเน็ตดีแทคโปรเน็ตดีแทคเน็ตดีแทคdtacเน็ตดีแทครายวันโปรเน็ตขายดี

6 สัญญาณเตือนของมือถือแบตเตอรี่เสื่อม ดูยังไงมาดูกัน

6 สัญญาณเตือนของมือถือแบตเตอรี่เสื่อม ดูยังไงมาดูกัน

1. แบตเตอรี่ลดเร็วกว่าปกติ
ถ้าหากปกติแบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มแล้วสามารถใช้งานได้ทั้งวันแบตเตอรี่จึงจะใกล้หมด แต่ถ้าหากแบตเตอรี่เริ่มหมดเร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น ใช้ได้ไม่ถึงครึ่งวันหรือหมดเร็วกว่านั้น ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าแบตเตอรี่นั้นมีการเสื่อมสภาพค่อนข้างมากแล้ว รวมทั้งเปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่ที่ลดลงเรื่อย ๆ ขณะใช้งานถ้าหากลดครั้งละหลายเปอร์เซ็นต์ก็เป็นอาการของแบตเตอรี่เสื่อมเช่นกัน (ตามปกติแล้วจะลดครั้งละ 1%)

2. ความจุไฟลดลง
แบตเตอรี่เมื่อผ่านการใช้งานแล้วความจุลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุการใช้งาน ซึ่งแบตเตอรี่ที่เริ่มเสื่อมสภาพจะมีความจุไฟน้อยกว่าแบตเตอรี่ใหม่ ๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยส่งผลให้เวลาชาร์จจะเต็มไวกว่าปกติ และแบตเตอรี่ก็จะหมดเร็วกว่าปกติ

3. ปริมาณแบตเตอรี่ไม่คงที่
ปริมาณของแบตเตอรี่ที่แสดงเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์นั้น ในกรณีที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพอาจมีอาการแสดงเปอร์เซ็นต์ฺไม่คงที่ เช่น เพิ่งชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% แต่ผ่านไปไม่กี่นาทีแบตเตอรี่ก็ลดลงเหลือ 70% แต่พอผ่านไปสักพักกลับขึ้นมาเป็น 85% ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จเพิ่ม

4. เครื่องดับแบบไร้สาเหตุ
ถ้าหากมีอาการเครื่องดับขณะใช้งานตามปกติ โดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอย่างอื่น เช่น เครื่องค้างหรือแอปฯ ค้าง รวมทั้งการที่เครื่องดับขณะที่ไม่ได้ใช้งาน คือเมื่อหยิบเครื่องมาจะใช้งานก็พบว่าเครื่องดับไปเสียแล้ว อาการดังกล่าวก็อาจมาจากแบตเตอรี่เสื่อมด้วยเช่นกัน

5. แบตเตอรี่บวม
แบตเตอรี่ที่เสื่อมมาก ๆ อาจมีอาการปูดบวมของตัวแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าหากเป็นมือถือสมัยก่อนที่สามารถเปิดฝาถอดแบตเตอรี่ออกมาดูได้ก็จะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่สำหรับมือถือยุคใหม่ที่เปิดฝาหลังเครื่องไม่ได้ ถ้าหากแบตเตอรี่บวมก็อาจดันฝาหลังหรือหน้าจอให้ปูดบวมหรืออ้าเผยอขึ้นมา


6. แบตเตอรี่ใช้มาหลายปีแล้ว

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้นตามปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 ปี ซึ่งถ้าหากแบตเตอรี่นั้นมีการใช้งานมามากกว่า 2 ปีแล้วมีอาการต่าง ๆ ตาม 5 ข้อข้างบน ก็ยิ่งสามารถฟันธงได้ว่าแบตเตอรี่น่าจะเสื่อมแน่ ๆ โดยยิ่งแบตเตอรี่ผ่านการใช้งานมานานเท่าไรก็จะยิ่งมีโอกาสเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.whatphone.net

โปรเน็ตเพิ่มเติมคลิ๊ก
https://www.facebook.com/net.dtac.kaidee/?ref=your_pages.

#netdtackaidee

#สมัครเน็ตดีแทคโปรเน็ตดีแทคเน็ตดีแทคdtacเน็ตดีแทครายวันโปรเน็ตขายดี

NEWS & UPDATE5 เทคนิคเพิ่มความปลอดภัย เมื่อต้องทำงานผ่านสมาร์ทดีไวซ์

NEWS & UPDATE5 เทคนิคเพิ่มความปลอดภัย เมื่อต้องทำงานผ่านสมาร์ทดีไวซ์

ขณะที่เทรนด์การทำงานจากที่บ้านหรือ Work From Home” กับการทำงานแบบ BYOD (Bring Your Own Device) คือการนำอุปกรณ์ไอทีส่วนตัวมาใช้ในการทำงานร่วมกันได้รับความนิยมสูงขึ้นมาก แน่นอนว่าการใช้งานลักษณะนี้ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อีกทั้ง ยังเป็นการเปิดช่องโหว่ให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์หรือแฮกเกอร์ฉวยโอกาสสร้างความเสียหายแก่ผู้ใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตหลายรูปแบบ ทั้งการตั้งเว็บไซต์ปลอม แพร่มัลแวร์ผ่านอีเมลฟิชชิ่ง (Phishing) หรือเผยแพร่ข้อมูลปลอม (Fake news)

นักวิจัยของแคสเปอร์สกี้[1] ได้ตรวจพบว่าเหล่าอาชญากรไซเบอร์กลุ่มนี้ใช้ความหวาดกลัวต่อโรคระบาดของคน โดยการปลอมแปลงเอกสารให้มีลักษณะคล้ายกับอีเมล์ของหน่วยงานภาครัฐ แล้วเมื่อไรที่ผู้ใช้กดเปิดลิงก์ที่แนบมาก็อาจถูกดึงข้อมูลไปได้ ดังนั้นการที่พนักงานออฟฟิศส่วนมากที่ใช้สมาร์ทดีไวซ์ส่วนตัวมาเรียกใช้ข้อมูลของหน่วยงาน อาทิ อ่านอีเมล์ของหน่วยงานผ่านแท็บเล็ตส่วนตัว ใช้โปรแกรมแชทแอปพลิเคชั่นพูดคุยเรื่องเนื้อหาในการทำงาน รวมถึงส่งข้อมูลสำคัญของบริษัทผ่านสมาร์ทโฟนส่วนตัวก็อาจเกิดอันตรายต่อการโจรกรรมข้อมูลได้

สมาร์ทดีไวซ์แบบไหนที่มั่นใจได้ในเรื่อง ความปลอดภัย

ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ให้ความสำคัญมากกับความปลอดภัยของข้อมูลที่มาพร้อมกับสมาร์ทดีไวซ์ทุกชนิดบนทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต แน่นอนว่า ข้อดีของการใช้สมาร์ทดีไวซ์ของตนเองในการทำงาน คือ ความสะดวก รวดเร็วในการเข้าถึงทั้งข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลบริษัท ไม่ต้องถ่ายโอนไฟล์ไปมา รวมถึงความคุ้นเคยในการใช้อุปกรณ์ แต่อย่างไรก็ตามความสะดวกสบายเหล่านี้อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญๆ ดังนั้น ข้อแนะนำการเลือกซื้อสมาร์ทดีไวซ์ ที่มาใช้งานมีดังนี้

  1. มีแพลตฟอร์มด้านความปลอดภัย: สมาร์ทโฟนควรได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัยตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดเครื่อง โดยควรเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกฝังอยู่ในเครื่องตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต และมีระบบมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลขั้นสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย “ซัมซุง น็อกซ์” (Samsung Knox) มีระบบความปลอดภัยในระดับเทียบเท่ากับที่ใช้ในหน่วยงานความมั่นคง (Defense-grade security) ที่ประกอบไปด้วยการป้องกันและกลไกด้านความปลอดภัยที่ซ้อนกันหลายระบบช่วยป้องกันการบุกรุก มัลแวร์ และภัยคุกคามอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีมากับสมาร์ทโฟนและแท๊บเล็ตของซัมซุง กาแลคซี่ ทุกรุ่น
  1. มีการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์: การพกพาสมาร์ทดีไวซ์ไปด้วยทุกที่อาจมีความเสี่ยงที่อุปกรณ์จะ สูญหายหรือถูกขโมยข้อมูลสำคัญ ดังนั้นการยืนยันตัวตนแบบไมโอเมตริกซ์หรือการพิสูจน์ตัวตนด้วยการจดจำใบหน้าและลายนิ้วมือ จะช่วยให้มั่นใจว่าคุณเป็นคนเดียวที่ใช้งานสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นได้ อีกทั้งยังง่ายยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานร่วมกับ Samsung Pass ที่จะช่วยจดจำพาสเวิร์ดสำคัญ ให้คุณเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย เพียงแค่ใช้การมองหรือสัมผัส ผ่านการทำงานของเทคโนโลยี FIDO (Fast Identity Online) เพื่อให้การตรวจสอบถูกต้องอย่างแท้จริง
  1. มีพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวสมาร์ทโฟนถือเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ เปรียบได้ทั้งเป็นกระเป๋าสตางค์ สมุดโทรศัพท์ อัลบั้มภาพถ่าย คอมพิวเตอร์พกพา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ผู้ใช้งานควรสร้างพื้นที่เข้ารหัสแยกเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวอีกชั้นหนึ่ง โดย Secure Folder จะเก็บข้อมูลของคุณเพื่อให้คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าใช้งานส่วนที่เป็นส่วนตัวที่สุดของโทรศัพท์
  1. สามารถการป้องกันการเชื่อมต่อที่อันตรายการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi สาธารณะ อาจทำให้ผู้ที่ไม่หวังดีเห็นข้อมูล ดักจับ แอบอ้างหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้ใช้ได้ จึงควรเลือกสมาร์ทโฟนที่มี Secure Wi-Fi เพื่อเข้ารหัส คุมปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตขาออกและปิดการใช้งานแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ที่ติดตาม จะช่วยให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยในการเชื่อมต่อไร้สายสาธารณะโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีการละเมิดความปลอดภัย

  1. สามารถแบคอัพข้อมูลยามฉุกเฉิน: เมื่อเกินเหตุไม่คาดฝัน อย่างเช่น เครื่องหายหรือโดนขโมย การที่เรายังสามารถติดตามเครื่องหรือจัดการกับข้อมูลในเครื่องได้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดย Find My Mobile service ของซัมซุงจะอนุญาตให้คุณเข้าถึงตำแหน่งของโทรศัพท์ได้ แบคอัพข้อมูลไปยัง Samsung Cloud, ล็อคหน้าจอ, ล็อคโทรศัพท์ และถ้าคุณต้องการยังสามารถลบข้อมูลทั้งหมดได้อีกด้วย

เพราะความปลอดภัยในข้อมูลของลูกค้าคือสิ่งที่ซัมซุงให้ความสำคัญมากที่สุด ดังนั้นผู้ใช้จึงมั่นใจได้ว่าหากคุณเลือกสมาร์ทโฟนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ รับรองได้เลยว่าคุณจะหมดกังวลเรื่องเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมทั้งได้ขยายขีดจำกัดการทำงานจากที่บ้านให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.whatphone.net

โปรเน็ตเพิ่มเติมคลิ๊ก
https://www.facebook.com/net.dtac.kaidee/?ref=your_pages.

#netdtackaidee

#สมัครเน็ตดีแทคโปรเน็ตดีแทคเน็ตดีแทคdtacเน็ตดีแทครายวันโปรเน็ตขายดี

Facebook Messenger Room เปิดตัวแล้ว เพิ่มฟีเจอร์ประชุมได้พร้อมกับถึง 50 คน

Facebook Messenger Room เปิดตัวแล้ว เพิ่มฟีเจอร์ประชุมได้พร้อมกับถึง 50 คน

ในช่วงที่แอปประชุมทางไกล Zoom ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงวิกฤติ COVID-19 เนื่องจากได้มีการรณรงค์ให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื่อโรคร้าย ทางด้าน Facebook ก็มีแอป Messenger ที่รองรับการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอล แต่มีข้อจำกัดในจำนวนผู้ที่ใช้พร้อมกัน และผู้ใช้ทุกคนต้องมีแอคเคานต์ของ Facebook ด้วย

ล่าสุด Facebook ได้เปิดตัว Messenger Room ที่จะมาแข่งกับ Zoom อย่างเต็มตัว

Messenger Rooms สามารถรองรับการประชุมทางไกลออนไลน์ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 50 คน โดยผู้ใช้สามารถเข้าร่วมห้องสนทนาได้อย่างง่ายดายผ่านลิงก์ที่ผู้สร้างห้องสนทนาสร้างขึ้น และผู้เข้าร่วมไม่จำเป็นต้องมีแอคเคานต์ Facebook ก็ได้

ในช่วงที่แอปประชุมทางไกล Zoom ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงวิกฤติ COVID-19 เนื่องจากได้มีการรณรงค์ให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื่อโรคร้าย ทางด้าน Facebook ก็มีแอป Messenger ที่รองรับการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอล แต่มีข้อจำกัดในจำนวนผู้ที่ใช้พร้อมกัน และผู้ใช้ทุกคนต้องมีแอคเคานต์ของ Facebook ด้วย

ล่าสุด Facebook ได้เปิดตัว Messenger Room ที่จะมาแข่งกับ Zoom อย่างเต็มตัว

Messenger Rooms สามารถรองรับการประชุมทางไกลออนไลน์ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 50 คน โดยผู้ใช้สามารถเข้าร่วมห้องสนทนาได้อย่างง่ายดายผ่านลิงก์ที่ผู้สร้างห้องสนทนาสร้างขึ้น และผู้เข้าร่วมไม่จำเป็นต้องมีแอคเคานต์ Facebook ก็ได้

อีกทั้งผู้ที่สร้างห้องสนทนายังสามารถเลือกได้ว่าใครจะเห็นและเข้าร่วมการสนทนาได้บ้าง และลบผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้เข้าร่วมการสนทนาได้

นอกจากนี้ Messenger Rooms ยังไม่จำกัดเวลาในการประชุมออนไลน์ และถ้าหากผู้ใช้เข้าร่วมการสนทนาของ Room ผ่านแอป Messenger ก็จะสามารถใช้เอฟเฟก AR และฟีเจอร์ใหม่สำหรับเปลี่ยนภาพพื้นหลังและโทนแสงได้อีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก beartai.com

https://www.facebook.com/net.dtac.kaidee/?ref=your_pages.

#netdtackaidee

#สมัครเน็ตดีแทคโปรเน็ตดีแทคเน็ตดีแทคdtacเน็ตดีแทครายวันโปรเน็ตขายดี

Twitter ลบข้อความที่กล่าวหาว่าเทคโนโลยี 5G เป็นต้นเหตุการระบาดของ COVID-19

Twitter ลบข้อความที่กล่าวหาว่าเทคโนโลยี 5G เป็นต้นเหตุการระบาดของ COVID-19

ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวเรื่องมีการปล่อยข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ว่ามีเทคโนโลยี 5G เป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายของไวรัสนี้ โดยทฤษฎีประหลาดนี้ได้มีการโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Twitter กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็มีคนบางกลุ่มที่หลงเชื่อในทฤษฎีนี้และได้ทำการ “เผาเสาสัญญาณ 5G” ทิ้งเพื่อหวังจะป้องกันการระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสได้ ทั้งใน ประเทศอังกฤษ และ เนเธอร์แลนด์

ทาง Twitter จึงได้ออกมาประกาศว่าลบข้อความต่างๆ ที่มีเนื้อความชักชวนให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 กับเทคโนโลยี 5G ออกไป และลบข้อความที่ชักชวนให้ทำลายเสาสัญญาณหรือระบบ 5G

รวมทั้งได้ดำเนินการลบข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสมากขึ้นอย่างข้อความชวนเชื่อที่ชักจูงให้ให้ละเลยการดูแลตัวเอง, ปฏิเสธการรักษา หรือแนะนำวิธีการรักษาโรคแบบผิดๆ และข้อความเท็จที่แอบอ้างชื่อของผู้เชี่ยวชาญออกไปด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทเองก็ไม่สามารถที่จะทำการแบนข้อความดังกล่าวนี้ได้ทั้งหมดด้วยตนเองเพราะข้อความเหล่านี้มีจำนวนมากและหลากหลายเกินกว่าที่จะสามารถตามลบได้หมด ดังนั้นจึงได้ ขอความร่วมมือ ให้ผู้ใช้งดการทวิตข้อความที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดนี้ และช่วยกันแจ้งรายงานเพื่อให้บริษัทดำเนินการลบทวิตที่อาจหลุดรอดจากการคัดกรองของทางบริษัทออกไป

นอกจากนี้ทาง Twitter ก็ได้ย้ำให้ผู้ใช้ คัดกรองข้อมูลและแหล่งที่มา ข้อมูลก่อนที่จะเลือกเชื่อข้อมูลนั้นๆ และแนะนำให้พิจารณารับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://news.thaiware.com/

https://www.facebook.com/net.dtac.kaidee/?ref=your_pages.

#netdtackaidee#สมัครเน็ตดีแทคโปรเน็ตดีแทคเน็ตดีแทคdtacเน็ตดีแทครายวันโปรเน็ตขายดี